วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

ซูซูกิ สวิฟท์ ขับสนุกแถมประหยัด


ซูซูกิเปิดตัวรถยนต์ขนาดเล็ก รุ่นสวิฟท์ ครั้งแรกที่งานปารีส มอเตอร์โชว์ปี ค.ศ. 2004 และด้วยความสามารถด้านมอเตอร์สปอร์ต สวิฟท์สามารถคว้าแชมป์จากรายการจูเนียร์ เวิลด์ แรลลี แชมเปี้ยนชิพมาครองได้ในปีเดียวกัน ส่งผลให้สวิฟท์ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ในยุโรปเป็นอย่างมาก ส่วนในบ้านเรานั้น บริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ได้นำซูซูกิ สวิฟท์ แฮทช์แบ็ค 5 ประตู เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร จากประเทศอินโดนีเซียเข้ามาเปิดตัวครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 23 เมื่อปี 2549 โดยตอนนั้นราคาเปิดตัวของรุ่นจีแอล ตัวท็อป อยู่ที่ 649,000 บาท
สำหรับปีนี้ หลังจาก บริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้สร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศ ไทยเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงประกอบซูซูกิ สวิฟท์ใหม่ ซึ่งจะเป็นรถแบบอีโคคาร์คันแรกของค่ายซูซูกิออกจำหน่าย และได้มีการเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังจากจัดทริปให้สื่อมวลชนทดลองขับไปเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา โดย “เดลินิวส์” ได้สวิฟท์ตัวท็อป รุ่นจีแอลเอ็กซ์มาทดลองขับในทริปนี้ สำหรับรูปทรงของซูซูกิ สวิฟท์ใหม่นั้น ดูคล้าย ๆ กับสวิฟท์รุ่นก่อน แต่ถ้านำมิติตัวถังของรถมาเทียบกันแล้วจะเห็นได้ว่าสวิฟท์ใหม่มีขนาดของตัวถังใหญ่ขึ้น โดยมีความยาวเพิ่มขึ้น 105 มม. ความกว้างเพิ่มอีก 5 มม. และฐานล้อยาวขึ้นอีก 40 มม. จึงทำให้รัศมีวงเลี้ยวกว้างขึ้นจาก 4.7 ม. เป็น 5.2 ม.
เมื่อเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร พบว่าทัศนวิสัยด้านหน้ารถดูกว้างขวางและมีจุดอับน้อย เช่นเดียวกับมุมมองที่ผ่านกระจกมองข้างขนาดใหญ่ ส่วนมุมมองด้านหลังติดตรงหมอนรองศีรษะที่อยู่ค่อนข้างสูง ทำให้มีปัญหาในการมองพอสมควร ส่วนความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารสำหรับ 2 คนหน้าคงจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะเบาะและพวงมาลัยปรับได้หลายลักษณะ ช่วยให้ปรับท่านั่งได้อย่างเหมาะสม ส่วนความกว้างของห้องโดยสารตอนหลังขึ้นอยู่กับขนาดตัวของคนนั่งหน้าด้วย แต่โดยรวมแล้วโปร่งโล่งสบายดีกว่ารุ่นก่อนเพราะฐานล้อมีขนาดที่ยาวขึ้น แถมไม่มีอุโมงค์กลางที่พื้นรถ ส่วนข้อติก็คือการพับเบาะหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกของ ที่ทำได้แย่กว่ารุ่นก่อน ซึ่งเวลาพับเบาะลงแล้วจะเรียบเสมอกับพื้นรถ
ในด้านของสมรรถนะนั้น แม้เรี่ยวแรงของสวิฟท์ใหม่จะดูน้อยลง เพราะเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 91 แรงม้า (รุ่นเดิมใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 101 แรงม้า) แต่แรงบิดกลับมีมากขึ้นจาก 113 นิวตัน-เมตร เพิ่มเป็น 118 นิวตัน-เมตร และน้ำหนักตัวของสวิฟท์ใหม่ก็น้อยกว่าเดิมอีก 25 กก. จึงทำให้สวิฟท์ใหม่ยังคงมีอัตราเร่งออกตัวที่ว่องไว และเร่งแซงช่วงความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ได้น่าพอใจ สำหรับความเร็วสูงสุดนั้นก็ทำได้ถึง 170 กม./ชม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 16 กม./ลิตร และสามารถใช้น้ำมันอี20 ได้ ระบบช่วงล่างของสวิฟท์ใหม่ถูกออกแบบมาให้ค่อนข้างนิ่มนวล นั่งสบาย เหมาะสมดีแล้วสำหรับการใช้งานแบบรถขับประหยัดในเมืองใหญ่ ส่วนการวิ่งทางไกลช่วงความเร็วสูง ระบบช่วงล่างยังให้ความรู้สึกมั่นใจดี พวงมาลัยไม่เบา การตอบสนองแม่นยำ แต่ถ้าขับไปเจอคอสะพานชัน ๆ จะรู้สึกว่าจังหวะยุบตัวของโช้คอัพเยอะไป บางครั้งก็จะยุบไปจนถึงตัวลูกยางกันกระแทกเลย ส่วนระบบเบรกที่ใช้เป็นแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม ซึ่งเอาอยู่เมื่อต้องหยุดรถกะทันหัน และวางใจได้เพราะมีระบบเบรก
เอบีเอส และระบบเสริมแรงเบรกมาให้ด้วย
สรุปโดยรวม แม้ว่าซูซูกิ สวิฟท์ใหม่ จะมีราคาค่าตัวสูงกว่าคู่แข่งคือระหว่าง 469,000-559,000 บาท แต่ด้วยรูปทรงที่แตกต่างจากใคร ๆ และขนาดตัวที่ใหญ่กว่าจึงทำให้ดูน่าสนใจ ดังนั้นถ้าคุณกำลังมองหารถคันแรกสำหรับครอบครัว ซูซูกิ สวิฟท์ใหม่ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ต้องลองก่อนตัดสินใจ.
ข้อมูล
มิติ (ยาว/กว้าง/สูง)3,850/1,695/1,510 มม.

เครื่องยนต์  เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว วีวีที

ความจุกระบอกสูบ 1,242 ซีซี

กำลังสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที

แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบ/นาทีี

เกียร์ อัตโนมัติ ซีวีที

ราคา  559,000 บาท
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์

ฮุนได เอช1 เครืองดีเซลใหม่ แรงขึ้น ประหยัดสุด


ค่ายรถยนต์เกาหลี ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) กระตุ้นตลาดรถอเนกประสงค์ (เอ็มพีวี) ให้คึกคักตั้งแต่ต้นปี ด้วย ฮุนได เอช1 ปี ค.ศ. 2012 รถอเนกประสงค์ 12 ที่นั่ง ที่ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2,500 ซีซี ใหม่ล่าสุด เพื่อรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ เพิ่มสมรรถนะให้ดียิ่งขึ้น โดยให้ความสำคัญของลักษณะการใช้งานเป็นหลัก

ฮุนได เอช1 มีให้เลือกถึง 3 รุ่นด้วยกัน ประกอบด้วย ฮุนได รุ่นเดอลุกซ์ และเอ็กเซ็กคูทีฟ มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด
ขับเคลื่อนล้อหลัง เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ที่ให้แรงม้าสูงถึง 175 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 441 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000-2,250 รอบ/นาที ซึ่งมากกว่ารุ่นเดิมที่มีแรงบิดเพียง 392 นิวตัน-เมตร ทำให้อัตราเร่งฉับไวกว่าเดิม รองรับการใช้งานแบบ 12 ที่นั่งได้อย่างคล่องตัว
ส่วนฮุนได รุ่นทัวริ่ง ได้ปรับสเปกรายละเอียดของรถให้ลงตัวกับการใช้งานหนักที่เน้นความประหยัด ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล รีดกำลังได้ 136 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที และแรงบิด 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที เกียร์ธรรมดา 6 สปีด
ภายในรถทั้ง 3 รุ่นติดตั้งเบาะวีไอพีหมุนได้ 180 องศา 2 ตำแหน่ง และรางเลื่อนนิรภัยบนเบาะนั่งในตอนหลังทั้ง 3 แถว ให้ความสะดวกในการปรับพื้นที่ใช้สอยได้ดั่งใจ ไม่ว่าจะเน้นความสบายในการเดินทางหรือพื้นที่เก็บสัมภาระ
พิเศษขึ้นเฉพาะรุ่นเดอลุกซ์ ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมจะมาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่เหนือกว่า เช่น เบาะหนังแท้ลายใหม่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เครื่องเล่นดีวีดี จอแอลซีดีแบบสัมผัส รุ่นใหม่ ขนาด 10 นิ้ว ไฟเลี้ยวแอลอีดีแบบหลอดทันสมัย ดิสก์เบรก 4 ล้อ ระบบเบรกเอบีเอส กล้องช่วยถอยจอด พร้อมสัญญาณเตือนและสปอยเลอร์หลัง สำหรับราคาค่าตัวของฮุนได เอช1 ทั้ง 3 รุ่นอยู่ระหว่าง 1.086-1.524 ล้านบาท ถ้าคุณชอบรถอเนกประสงค์แบบ 12 ที่นั่ง ภายในกว้าง นั่งสบาย เครื่องยนต์ดีเซล แรงประหยัด เอช1 คันนี้ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่น่ามองข้าม.
เนตรนภางค์ บุญนายืน

แสดงความคิดเห็น


ขับรถเที่ยวสงการนต์เดินทางปลอดภัยทั้งขาไป ขากลับ - ครบเครื่องเรื่องรถ


ในช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ถ้าคุณผู้อ่านมีแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือจะกลับไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัดแล้วละก็ อย่าละเลยที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการขับรถทางไกลดังต่อไปนี้
• การศึกษาเส้นทาง
การศึกษาและวางแผนเพื่อเดินทางถือเป็นข้อปฏิบัติแรกที่คุณต้องทำเสมอก่อนออกเดินทางไกล แม้จะเป็นเส้นทางที่คุณเคยไปอยู่เป็นประจำทุกปี  ควรจะต้องตรวจสอบกับกรมทางหลวงให้แน่ใจก่อน เพราะหลังจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว  มีเส้นทางอีกหลายสายที่ยังชำรุดอยู่มาก ซึ่งในสภาพวันปกติก็ส่งผลให้รถใช้ความเร็วได้ไม่มากอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นช่วงที่หลายคนมุ่งหน้าออกต่างจังหวัดแบบนี้ ยิ่งทำให้การจราจรเชื่องช้ายิ่งขึ้นหลังจากวางแผนแล้วว่าจะใช้ถนนเส้นไหนเพื่อไปยังจุดหมาย ก็ต้องมาดูต่อว่าเส้นทางที่จะไปนั้นมีจุดไหนหรือปั๊มน้ำมันที่น่าจะใช้เป็นจุดแวะพักบ้าง เพื่อจะได้แวะเข้าไปผ่อนคลายอิริยาบถบ้างหลังจากการขับรถนาน ๆ นอกจากนี้ยังต้องดูด้วยว่าเส้นทางช่วงไหนเป็นทางโค้ง ทางชัน ทางขึ้นหรือลงเขา จะได้เตรียมตัวรับกับสภาพเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย และถ้าเป็นไปได้ หาซื้อเนวิเกเตอร์ติดรถไว้ก็จะดี เพราะจะสะดวกกว่าการเปิดหนังสือแผนที่ดูไปตลอดทาง
• ตรวจสภาพของรถให้พร้อม
เริ่มต้นจากการเช็กสัญญาณไฟต่าง ๆ ว่าทำงานครบ จากนั้นก็ตรวจดูพวกของเหลวต่าง ๆ เช่น จัดการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงให้เต็ม เช็กระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำ น้ำมันเบรก น้ำล้างกระจก และน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ ถ้าพร่องไปก็จัดการเติมให้ได้ระดับ สตาร์ตรถดูสภาพการทำงานของเครื่องยนต์ว่าเร่งขึ้นเบาลงได้ปกติ และไม่มีเสียงอะไรที่ดังผิดจากที่เคยได้ยิน ทดลองการทำงานเบรกหลักและเบรกมือตรวจวัดลมยางทั้ง 4 ล้อให้ได้ตามค่าที่โรงงานกำหนด รวมทั้งอย่าลืมเติมลมยางอะไหล่ด้วย และนำอุปกรณ์ที่ควรจะมีติดรถไปด้วย เช่น เครื่องมือติดรถ, แม่แรง, หลอดไฟ, ฟิวส์, ไฟฉาย, สายลากรถ, สายพ่วงแบตเตอรี่ เป็นต้น ส่วนคุณผู้อ่านที่ไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์เลย ให้เอารถไปให้ช่างช่วยตรวจสอบให้ก็ได้ หรือในช่วงเทศกาลอย่างนี้มักจะมีการตั้งจุดบริการ “ตรวจรถก่อนใช้ ปลอดภัยแน่นอน” ของกรมการขนส่งทางบก และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่คอยให้บริการตามเส้นทางสายหลักและสายรอง ถ้าจะใช้บริการก็ลองตรวจสอบทางอินเทอร์เน็ตดูได้ไม่ยาก
• พักผ่อนให้เพียงพอก่อนการเดินทาง
คงไม่ดีแน่ถ้าขับรถไปแล้วเกิดอาการง่วงนอนอ่อนเพลีย ดังนั้นถ้าคุณต้องขับรถเองก็ต้องเตรียมตัวพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนเดินทางไกลทุกครั้ง คือ ควรจะต้องนอนพักผ่อนอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายสดชื่น พร้อมสำหรับการขับรถเป็นเวลานาน ที่สำคัญงดดื่มสุราก่อนการเดินทาง เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง นอกจากนี้ระหว่างขับรถไกล ๆ แม้ยังไม่รู้สึกง่วงเพลียก็ต้องหาจุดพัก ประมาณว่าขับรถไปสัก 3-4 ชม. ก็แวะพักสักที ยืดเส้นยืดสายล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น และถ้าเจอผลไม้รสเปรี้ยวก็ซื้อติดรถไว้ เวลารู้สึกง่วง ๆ ขึ้นมาก็หยิบใส่ปากสักชิ้นสองชิ้นจะช่วยให้ตาสว่างขึ้นได้เหมือนกันเทศกาลปีใหม่ไทยก็หวังให้คุณผู้อ่านไปเที่ยวกันอย่างสนุกและมีความสุขกัน เดินทางปลอดภัยทั้งขาไปและขากลับ ดังนั้นขอให้ทุกท่านที่อยู่หลังพวงมาลัยนึกไว้เสมอว่า ต้องร่วมกันขับรถอย่างมีสติ มีวินัย มีมารยาท และมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทาง เพื่อความปลอดภัยของทุกคน.
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์

โตโยต้า วีโก้ แชมป์


รายการทดสอบรถระยะไกลประเดิมต้นปีได้เปิดตัวแล้วเมื่อ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดปฐมบททดสอบรถในทริป เดอะสปิริต ออฟ แชมป์ ด้วยระยะทาง 1,800 กม. ผ่าน 3 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยเริ่มต้นจากประเทศไทยข้ามสู่ประเทศลาว สิ้นสุดการเดินทางที่เมืองซาปา เหนือสุดของประเทศเวียดนาม ใช้เวลาเดินทางรวม 7 วันขบวนทดสอบครั้งนี้มีรถไฮลักซ์ วีโก้แชมป์ 17 คัน ทั้งรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ขับเคลื่อน2 ล้อยกสูง พรีรันเนอร์ เครื่องยนต์  2,500 ซีซี และ 3,000 ซีซี วีเอ็น เทอร์โบ เครื่องยนต์ไดมอนด์เทค เป็นพาหนะให้สื่อมวลชน 20 กว่าชีวิตได้ทดสอบสมรรถนะว่าจะอึดเพียงใด

เริ่มต้นการเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ที่จังหวัดนครพนม ใกล้สะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 3 มุ่งสู่แขวงคำม่วน ประเทศลาว และแวะพักที่เมืองฮาตินห์ ในประเทศเวียดนาม ใช้รถโตโยต้า วีโก้ แชมป์ รุ่น 4 ประตู เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร แบบพรีรันเนอร์ ขับเคลื่อน 2 ล้อยกสูงเป็นพาหนะ ช่วงแรกของการเดินทางได้ทดสอบช่วงล่างบนถนนที่ขับผ่าน มีทั้งถนนลูกรัง ถนนลาดยาง ขึ้นเนินเขา โค้งสลับซ้าย-ขวา รวมระยะทางประมาณ 325 กม.จากฮาตินห์ เข้าสู่เมืองฮาลอง ช่วงนี้รถวิ่งประมาณ 430 กม. ผ่านการจราจรในเวียดนามที่เรียกได้ว่า “ปราบเซียน” เมื่อเข้าเขตตัวเมืองชุมชนแล้ว ทั้งคนขับและผู้โดยสาร ก็ต้องช่วยกันมองรอบด้าน 360 องศา เพราะไม่คุ้นเคย เนื่องจากการจราจรตรงกันข้ามกับเมืองไทย รวมทั้งรถเจ้าถิ่นจะแซง หรือแทรกขบวนเมื่อใด ไม่มีใครสามารถบอกได้ การกดแตรที่เรียกว่าสัญญาณเตือน ไม่สามารถใช้กับรถราของประเทศเวียดนามได้
เช้ารุ่งขึ้นออกจากฮาลอง สู่กรุงฮานอยระยะทางช่วงนี้รวม 158 กม. ถนนหนทางการวิ่งต้องระมัดระวังคนใช้ถนนเป็นพิเศษ ตรงนี้วีโก้แชมป์ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะการเร่งแซง ความแม่นยำของพวงมาลัยทำได้อย่างน่าพอใจ แม้สภาพการจราจรจะยากลำบากก็สามารถผ่านมาได้สบาย ๆ เข้าสู่วันที่ 5 ของการเดินทาง ผ่านไปเกินครึ่งทางแล้ว ขบวนคาราวานจัดแถวมุ่งหน้าสู่ที่หมายหลักปักหมุด คือ เมืองซาปาเมืองท่องเที่ยวอันสุดแสนโรแมนติกตั้งอยู่บนภูเขาเหนือระดับน้ำทะเล 1,545 เมตร ตลอดเส้นทางขึ้นเขา บางช่วงลาดชันไม่น้อยกว่า 10 องศา โค้งสลับซ้าย-ขวา เครื่องยนต์ไดมอนด์เทคไม่ทำให้ผิดหวังสามารถพาผ่านเขาสูงชัน โค้งอันตรายถึงที่หมายเมืองซาปาได้อย่างปลอดภัย แม้จะไม่ทันได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงามเพราะมืดค่ำเสียก่อน วันนี้รวมระยะทาง 343 กม.

หลังจากที่อิ่มเอมกับธรรมชาติถึง 2 คืน และแล้วก็ถึงเวลาต้องโบกมือลาเมืองซาปา กลับสู่เมืองหลวงฮานอย คณะเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 07.00 น. ระยะทางช่วงนี้รวม 343 กม. เท่ากับขามา ซึ่งจะลงเขาต่อเนื่องสลับโค้งซ้าย-ขวา แต่ที่สาหัสกว่าเพราะระหว่างทางหมอกหนาลงจัด เกือบจะเรียกได้ว่ามีฝนตกปรอย ๆ ต่อเนื่องตลอดทางที่จะถึงกรุงฮานอย ทำให้มีโจทย์ยากเพิ่มขึ้นเพราะถนนลื่น ดังนั้นการขับขี่จึงต้องระวังเป็นพิเศษ ระบบเบรกและความปลอดภัยที่จัดเต็มของโตโยต้าทำให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจและถึงกรุงฮานอยเวลา 19.00 น. และบ่ายวันต่อมาจึงเดินทางถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ

อย่างไรก็ดี ถ้อยคำทุกบรรทัดเบื้องต้นคงสามารถตอบได้ว่าการเดินทางตลอด 7 วัน ระยะทางรวม 1,800 กม. โตโยต้า ไฮลักซ์วีโก้ แชมป์ แกร่งเพียงใด.
เนตรนภางค์ บุญนายืน