วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
อุปกรณ์ป้องกัน การชนท้ายรถบรรทุก ไม่สามารถลดอันตรายได้ - สรรพรถ
สถาบันประกันความปลอดภัยทางหลวงแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ ไอไอเอชเอส เปิดเผยว่าอุปกรณ์ป้องกันการชนด้านท้ายของรถบรรทุกไม่สามารถลดอันตรายที่เกิดจากอุบัติเหตุการขับชนท้ายของรถยนต์นั่งได้ โดยไอไอเอชเอสได้จัดการทดสอบพร้อมเผยภาพที่ออกมาดูน่ากลัวเมื่อรถยนต์นั่งพุ่งเข้าชนท้ายรถบรรทุกที่ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการชน ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวไม่สามารถชะลอหรือหยุดรถที่ทำการทดสอบไม่ให้มุดเข้าไปใต้โครงสร้างตัวถังของรถบรรทุก ทำให้ผู้ขับขี่รวมถึงผู้โดยสารด้านหน้าอาจจะได้รับอันตรายจากการชนกระแทกบริเวณใบหน้าและศีรษะ
สำหรับอุปกรณ์ดังกล่าวในรถบรรทุกบางยี่ห้อที่ได้รับการออกแบบให้มีความแข็งแรงเพียงพอก็พอจะสามารถชะลอรถได้หากเกิดการชนในลักษณะเต็มหน้า แต่ถ้าหากรถเกิดพุ่งชนท้ายในลักษณะครึ่งหน้า อุปกรณ์เหล่านี้แทบจะไม่สามารถชะลอรถได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าความแข็งแกร่งบริเวณเสาเอของรถยนต์นั่งที่เป็นกรอบยึดกระจกบังลมหน้า คงไม่สามารถป้องกันอันตรายให้กับผู้โดยสารในลักษณะการชนดังกล่าวได้
สำหรับการทดสอบการชนครั้งนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าอุปกรณ์ป้องกันการชนของรถบรรทุกควรที่จะต้องได้รับการแก้ไขและปรับปรุงโดยเร่งด่วน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
สำหรับบ้านเรา รถบรรทุกที่ทำการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการชนในลักษณะนี้ เท่าที่เห็นบนท้องถนนก็มีอยู่พอสมควร ซึ่งก็หมายถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กับรถยนต์นั่งที่ขับตามหลัง หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านมาตรฐานความปลอดภัยในบ้านเราควรนำข้อมูลดังกล่าวไปศึกษาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุ.
...................................
พีรพล กนิษฐะเสน
อุปกรณ์ป้องกัน การชนท้ายรถบรรทุก ไม่สามารถลดอันตรายได้ - สรรพรถ
....................................
คลิกชมภาพและอ่านต่อ....
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556
ฮอนด้า ซีวิค ไฮบริด นำเทรนด์ยานยนต์รักษ์โลก - ป้ายแดงชวนขับ
นอกจากนี้เอ็มได้ให้คะแนนซีวิค ไฮบริดทางด้านรูปลักษณ์ภายนอก 4 ดาว เครื่องยนต์ 3 ดาวเพราะค่อนข้างอืด ช่วงล่าง 4 ดาวเนื่องจากเวลาขับบนถนนขรุขระจะมีความนุ่มนวล แต่ตอนขับเร็ว ๆ หรือเข้าโค้ง หรือเปลี่ยนเลนกะทันหัน ช่วงล่างยังนิ่ง อย่างไรก็ดีมีข้อติอยู่ที่พวงมาลัยตอบสนองเร็วไปนิดนึง ส่วนภายในให้ 4 ดาวเพราะไม่หวือหวาหรือตื่นเต้นนัก ขณะที่ฟังก์ชั่นการใช้งานเยอะแต่รูปร่างหน้าตาดูเรียบไปหน่อย ฟังก์ชั่นการใช้งานให้ 4 ดาวเนื่องจากตอบโจทย์การใช้งานง่ายและประหยัดแน่นอน.
มิติ (ยาว/กว้าง/สูง) 4,524/1,753/1,429 มม.
เครื่องยนต์ SOHC i-VTEC+ มอเตอร์ไฟฟ้า IMA
ความจุกระบอกสูบ 1,497 ซีซี
กำลังสูงสุด 91 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาทีี
แรงบิดสูงสุด 132 นิวตัน-เมตรที่ 2,800 รอบ/นาที
มอเตอร์ไฟฟ้า
กำลังสูงสุด 23 แรงม้าที่ 1,546-3,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 106 นิวตัน-เมตรที่ 500-1,546 รอบ/นาที
เกียร์ อัตโนมัติ ซีวีที
ราคา 1,095,000 บาท
เรื่อง ลำยอง ปกป้อง
ฮอนด้า ซีวิค ไฮบริด นำเทรนด์ยานยนต์รักษ์โลก - ป้ายแดงชวนขับ
..................................
คลิกชมภาพและอ่านต่อที่นี่....
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
นิสสัน มาร์ชใหม่ หน้าตาคมเข้ม
หลังจากทำตลาดมาครบ 3 ปี นิสสัน มาร์ช อีโคคาร์คันแรกของบ้านเราก็ได้ฤกษ์ปรับโฉมกันเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งเปิดให้จับจองซื้อหากันได้ในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ซึ่ง นิสสัน มาร์ช ใหม่ก็มียอดขายไม่น้อยหน้าตัวเดิม
ภายนอกมาร์ชใหม่มีขนาดเท่าเดิมแต่มีหน้าตาคมเข้มมากขึ้น โดยเฉพาะกระจังหน้าใหม่ที่เพิ่มคิ้วโครเมียมรูปตัววี กับส่วนตะแกรงช่องรับลมเปลี่ยนเป็นแบบรังผึ้ง ไฟหน้าและไฟตัดหมอกใหม่ช่วยทำให้มาร์ชใหม่ดูสวยสปอร์ตและดุดันมากขึ้น ส่วนล้อแม็กใช้ขนาด 14 นิ้วลายใหม่ที่ดูเท่ใส่ยางขนาด 175/60R15 ส่วนด้านท้ายเปลี่ยนแปลงตรงกันชนหลังกับชุดไฟท้ายที่เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟเบรกแบบแอลอีดี และได้เพิ่มสีตัวถังใหม่อีก 2 สี คือ สีเขียว กรีนโอลีฟและสีชมพู สวีทพิงค์
การตกแต่งภายในห้องโดยสารเน้นให้เกิดความรู้สึกโปร่งโล่งสบายขึ้น โดยเปลี่ยนสีของแผงข้างประตูและเบาะนั่งจากสีดำมาเป็นสีเบจ ส่วนชุดคอนโซลใช้โทนสีดำ ชุดมาตรวัดเพิ่มความหรูหราด้วยขอบโครเมียม ที่ก้านของพวงมาลัยเพิ่มสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียง และเพิ่มชุดไฟส่องสว่างที่ห้องเก็บสัมภาระให้ความสะดวกเวลาหาสิ่งของในยามค่ำคืน ในด้านความปลอดภัยนิสสันมาร์ชทุกรุ่นจะติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า พร้อมเบรกเอบีเอสให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
สำหรับเครื่องยนต์ ยังคงเป็นรุ่น HR12DE ให้กำลัง 79 แรงม้า มีระบบส่งกำลังให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีดกับเกียร์อัตโนมัติ แบบเอ็กซ์ทรอนิก ซีวีทีสำหรับค่าตัวของมาร์ชใหม่ในรุ่นเอส เกียร์ธรรมดา ราคา 388,000 บาท, รุ่นอี เกียร์ธรรมดา 444,000 บาท, รุ่นอี ซีวีที 478,000 บาท, รุ่นอีแอล ซีวีที 506,000 บาท, รุ่นวี ซีวีที 525,000 บาท และรุ่นวีแอล ซีวีที 555,000 บาท.
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
...............................
คลิกชมภาพและอ่านต่อ....
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
มิตซูบิชิ มิราจ อีโคคาร์ ลิมิเต็ด
มิราจรุ่นพิเศษโดดเด่นสะดุดตาตั้งแต่การเลือกสีม่วงเจิดจ้าสำหรับเจ้าของที่ชอบแสดงออก หรือเลือกสีขาวสะอาดตา ดีไซน์ลงตัวด้วยชุดไฟหน้าและเส้นสายด้านข้างตัวรถ ออกแบบรูปทรงหลังคา 2 ระดับให้ดูปราดเปรียว พร้อมติดสปอยเลอร์หลังเพิ่มความสปอร์ตและติดสัญลักษณ์บลูม อิดิชั่นที่ประตูท้าย
นอกจากนี้มิราจยังเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย ตั้งแต่การออกแบบเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยที่ชัดเจน การใช้โครงสร้างตัวถังนิรภัยที่ช่วยลดการยุบตัวของห้องโดยสารเมื่อถูกชนจากด้านหน้าและด้านข้าง การติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านหน้าและระบบเบรกเอบีเอส พร้อมระบบกระจายแรงเบรกที่ทำงานประสานกันทั้ง 4 ล้อ
ในการทดสอบมิราจรุ่นพิเศษครั้งนี้เราเลือกสีม่วงเพราะสะดุดตาตั้งแต่แรก และ เมื่อเข้าประจำที่คนขับเห็นว่ามีการตกแต่งใหม่หลายอย่าง เช่น เบาะผ้าลายใหม่โทนสีม่วงแบบพรีเมียมรับกับสีภายนอก พวงมาลัยหุ้มหนังตกแต่งแบบสีเงิน คอนโซลหน้ามีระบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ครบครันทั้งดีวีดี ซีดี เอ็มพี3 ยูเอสบีสำหรับอุปกรณ์เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ จอภาพแบบระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว และระบบนำทาง
ระบบกุญแจอัจฉริยะที่สามารถล็อกและปลดล็อกประตูหน้าและฝากระโปรงท้ายเมื่อผู้ขับขี่มีกุญแจรีโมตอยู่ในรัศมี 70 ซม. ทำการสตาร์ตเครื่องยนต์โดยการกดปุ่มเช่นเดียวกับรถหรูรุ่นใหม่ ๆ กระจกมองข้างแบบพับจะกางอัตโนมัติ
มาถึงช่วงออกตัว มิราจทำได้ดีมีความคล่องตัวสูง เนื่องจากพวงมาลัยมีน้ำหนักเบาและมีรัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 4.4 เมตร เหมาะกับการใช้ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น
เครื่องยนต์ 3 สูบ 12 วาล์ว ขนาด 1,193 ซีซี 78 แรงม้ามีเรี่ยวแรงไม่มาก ไม่ปรู๊ดปร๊าด แต่ให้การตอบสนองดีทั้งช่วงออกตัวและความเร็วปานกลาง เกียร์อัตโนมัติ INVECS-III ซีวีทีทำงานราบรื่นนุ่มนวลใช้ได้ หรือใช้เกียร์สปอร์ตส่งเสียงคำรามให้กับมิราจสีม่วงดูดุขึ้นอีกนิด หากกดคันเร่งให้ความเร็วมากกว่า 100 กม./ชม. พวงมาลัยจะหนักขึ้น ระบบเบรกใช้ได้ ช่วงล่างแข็งกระด้างนิด ๆ แต่ส่งผลดี ทำให้รถเกาะถนนมากขึ้น ถ้าเปลี่ยนยางให้ใหญ่ขึ้นจากขนาด 165/65R14 อีกสักหน่อยจะทำให้มิราจ รุ่นพิเศษดูดี แม้ต้องแลกกับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ลดลงก็ตาม.
ข้อมูล มิตซูบิชิ มิราจ อีโคคาร์ ลิมิเต็ด
มิติ (ยาว/กว้าง/สูง) 3,710/1,665/1,490 มม.
เครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว
ความจุกระบอกสูบ 1,193 ซีซี
กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
เกียร์ อัตโนมัติ INVECS-III ซีวีทีี
ราคา 549,000 บาท
ลำยอง ปกป้อง
.....................................
คลิกชมภาพต่อ....
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556
เปิดตัวรถสปอร์ตงานเจนีวา - สรรพรถ
งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2013 ที่เพิ่งผ่านไป มีรถสปอร์ตทั้งแบบคลาสสิกและแบบล้ำอนาคตมาเผยโฉมพร้อมกันหลายรุ่นหลายยี่ห้อ “สรรพรถ” จึงขอเกาะกระแสนำเสนอรถเด่น ๆ แบบโชว์ทั้งสเปก ราคา และความแรง เอามาคุยอวดกันให้หายอยาก
ขอเริ่มด้วยค่ายรถจากประเทศเยอรมนี วิสมานน์ ทำการเปิดตัวรถยนต์จีที เอ็มเอฟ4-ซีเอส ซึ่งเป็นรถสปอร์ตคลาสสิกที่วิสมานน์ผลิตขึ้นจำนวนจำกัดเพียง 25 คันเพื่อฉลองครบรอบ 25 ปี เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นบล็อก วี 8 ให้กำลัง 420 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 4.4 วินาที มีความเร็วสูงสุด 293 กม./ชม. ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 193,193 ยูโร (7.8 ล้านบาท)
จากค่ายเยอรมนีมาขาใหญ่อิตาลีกันบ้าง คาร์รอสเซเรีย ทัวริ่ง ซูเปอร์รีเกียล่า ผู้ผลิตรถสปอร์ตจากประเทศอิตาลี เปิดตัวรถดิสโก้ โวลันเต้ รุ่นโปรดักชั่น ซึ่งได้รับการพัฒนามาจากรถของอัลฟ่า โรมิโอ รุ่น 8 ซี คอมเพติซิโอเน่ โดยใช้ตัวถังอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์เสริมโพลิเมอร์ กระจังหน้าทรงสามเหลี่ยม ส่วนหลังคาเป็นกระจกพาโนรามิกซันรูฟ เครื่องยนต์เป็นแบบ วี 8 ความจุ 4.7 ลิตร กำลัง 450 แรงม้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ซีเควนเชียล 6 สปีด ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 4.2 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 290 กม./ชม.
ต่อด้วยกระทิงดุ แลมโบกินี ก็เปิดตัว รุ่นเวเนโน่อย่างเป็นทางการ เพื่อฉลองการดำเนินงานครบรอบ 50 ปีของบริษัท เวเนโน่ ใช้ตัวถังสีเทาเมทัลลิก ผสมกับวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์บางส่วน และคาดสีธงชาติอิตาลี (เขียว ขาว และแดง) ใช้เครื่องยนต์วี 12 มีความจุกระบอกสูบ 6.5 ลิตร ให้กำลัง 750 แรงม้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ ไอเอสอาร์ 7 สปีด ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดทำได้ 355 กม./ชม. สำหรับชื่อรุ่น “เวเนโน่” มาจากชื่อของกระทิงดุที่เคยทำร้ายมาทาดอร์มือแน่ ๆ มาแล้วหลายต่อหลายราย ในช่วงทศวรรษ 1910
ปิดท้ายด้วยเจ้าเก่า ม้าลำพองเฟอร์รารี เปิดตัวรถซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุด “ลาเฟอรารี” ซึ่งเป็นรถเจเนอเรชั่นใหม่ที่มาแทนรุ่นเอนโซ เฟอรารี ใช้เครื่องยนต์ลูกผสมแบบไฮบริดทำงานผสานกันระหว่างเครื่องยนต์ วี 12 ความจุ 6,262 ซีซี 800 แรงม้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 163 แรงม้า มีระบบสำรองพลังงาน ไฮ-เคอร์ รถรุ่นนี้ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาต่ำกว่า 3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดเกิน 350 กม./ชม. เฟอร์รารีเผยว่าจะผลิตรถซูเปอร์คาร์รุ่นนี้เพียง 499 คันเท่านั้น ส่วนราคาก็ตั้งไว้แค่ 1.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (49.7 ล้านบาท) เท่านั้น โอ้พระเจ้า!!
พีรพล กนิษฐะเสน
เปิดตัวรถสปอร์ตงานเจนีวา - สรรพรถ
.........................
คลิกชมภาพต่อที่นี่....
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
เอฟ12 แบร์ลิเน็ตตา ม้าตัวใหม่ของเฟอร์รารี
บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เฟอร์รารีแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เน้นบุกตลาดรถซูเปอร์คาร์อย่างเต็มที่ในปีนี้ หลังจากยอดขายปีที่แล้วเป็นไปตามเป้าและสามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้เน้นทำการตลาด 2 รุ่น คือ 458 สไปเดอร์ และเอฟ12 แบร์ลิเน็ตตา ซึ่งเป็นเฟอร์รารีรุ่นที่เร็วและแรงที่สุดให้แฟนม้าลำพองจ่อคิวเป็นเจ้าของ
นางนันทมาลี ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ เปิดเผยว่า เพื่อตอกย้ำความแรงของรถซูเปอร์คาร์ บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวเอฟ12 แบร์ลิเน็ตตา ช่วงกลางปีและมั่นใจมากว่าจะมีกระแสการตอบรับอย่างดี สังเกตจากที่มียอดจองเข้ามาอย่างต่อเนื่องแม้จะยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเอฟ12 แบร์ลิเน็ตตาได้พัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดจากรุ่น 599 จีทีบี ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่เอฟ12 มีน้ำหนักเบากว่าถึง 70 กก.
เพราะใช้อะลูมิเนียมในการประกอบตัวรถ ทำให้ออกตัวได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบแอโรไดนามิกเดิมที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นดับเบิลแอโรไดนามิก ทำให้มีความลู่ลมขณะขับขี่ อีกทั้งขับขี่สนุกขึ้นด้วยขุมพลังจากเครื่องวี 12 ขนาด 6.3 ลิตร ให้กำลัง 740 แรงม้า ที่ 8,250 รอบ/นาที และแรงบิด 690 นิวตัน-เมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที ระบบเกียร์ 7 สปีด ดูอัลคลัตช์ เทคโนโลยีล่าสุดจากเฟอร์รารี ใช้เวลาทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. เพียงแค่ 3.1 วินาที และไต่ขึ้นไปถึง 200 กม./ชม. ที่ 8.4 วินาที มาพร้อมกับค่าตัวเริ่มต้นที่ 755,400 ยูโร (28.7 ล้านบาท)
นางนันทมาลี กล่าวว่า ปีนี้จะเป็นปีที่พิเศษของคาวาลลิโนฯ เพราะโชว์รูมจะมีเฟอร์รารีครบทั้ง 5 รุ่น ซึ่งมีการวางตำแหน่งทางการตลาดได้อย่างครอบคลุมและมีจุดขายที่แตกต่างกัน เริ่มตั้งแต่รุ่นเอฟเอฟ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการในการใช้งาน, รุ่นแคลิฟอร์เนีย 30 ขับง่าย ขับสนุก สามารถใช้งานได้ทุกวัน, รุ่น 458 อิตาเลีย ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมและขายดีที่สุด, รุ่น 458 สไปเดอร์ และรุ่นเอฟ12 แบร์ลิเน็ตตา เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือกเพิ่มขึ้นเต็มที่.
เนตรนภางค์ บุญนายืน
......................
คลิกชมภาพ.....
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
ปอร์เช่ เวิลด์ โรดโชว์ 2013 สัมผัสสุดยอดซูเปอร์คาร์ในฝัน
บริษัท ปอร์เช่ เอจี ประเทศเยอรมนี และบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ร่วมกันจัดกิจกรรมปอร์เช่ เวิลด์ โรดโชว์ 2013 โดยขนฝูงรถปอร์เช่มากถึง 23 คันมาให้ลูกค้าและสื่อมวลชนได้ทดลองสมรรถนะ ณ สนามพีระฯ ระหว่างวันที่ 1-12 มี.ค. ที่ผ่านมา
ในส่วนของทริปการอบรมครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 สถานีหลัก ๆ คือ สถานีการทดลองขับสมรรถนะของรถปอร์เช่และวิธีขับรถในทางโค้งแบบต่าง ๆ ของสนามพีระฯ, สถานีการควบคุมรถผ่านเส้นทางแบบสลาลม และสถานีสุดท้ายเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของระบบเบรก พร้อมทั้งฝึกควบคุมทิศทางของรถเมื่อต้องเบรกอย่างกะทันหัน
ในสถานีแรก ปอร์เช่ได้แยกรถเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มของรถเครื่องวางหน้า อันประกอบไปด้วยรุ่นพานาเมร่าและรุ่นคาเยนน์ อีกกลุ่มจะเป็นรถเครื่องวางหลังและวางกลาง ได้แก่ รุ่น 911, บ็อกซ์เตอร์ และเคย์แมน สำหรับเทคนิคที่นำมาสอนเป็นการขับรถเข้าโค้งอย่างปลอดภัย หลักใหญ่ที่ผู้สอนเน้นก็คือการเข้าโค้งให้ช้าและออกให้เร็ว ซึ่งทำได้ด้วยการกำหนดจุดเบรกเพื่อเริ่มชะลอความเร็วก่อนถึงโค้ง ในจังหวะนี้น้ำหนักรถจะถ่ายเทไปทางด้านหน้า ล้อหน้าที่ได้รับน้ำหนักมากขึ้นก็จะเพิ่มการยึดเกาะถนนมากขึ้นตามไปด้วย จากนั้นก็เปลี่ยนเกียร์ให้ต่ำลง
แต่เนื่องจากรถปอร์เช่ที่เอามาขับใน ทริปนี้เป็นรถเกียร์อัตโนมัติทั้งหมด ระบบควบคุมเกียร์จึงลดอัตราทดลงเองตามความเหมาะสม จากนั้นก็ให้ควบคุมความเร็วและทิศทางรถให้เข้าโค้งไปอย่างพอเหมาะ ไม่ควรเร่งให้เร็วเกินไป เมื่อรถเสียการทรงตัว ไม่ควรเหยียบเบรกแรง ๆ แต่ให้ยกคันเร่งขึ้นเพื่อลดความเร็ว และไม่กระชากพวงมาลัยแรง ๆ ขณะควบคุมทิศทางในโค้ง เมื่อรถเริ่มออกจากทางโค้งก็ให้กดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้น และคืนพวงมาลัยให้รถอยู่ในทิศทางตรง ในจังหวะนี้น้ำหนักรถจะถ่ายไปยังด้านหลังรถ ช่วยให้รถพุ่งตัวออกจากทางโค้งได้อย่างมั่นคง
ในสถานีสลาลม รถที่เอามาใช้ทดลองเป็นรุ่นเคย์แมน โดยปกติสำหรับรถเครื่องวางหน้าเวลาขับรถแบบซิกแซ็กผ่านกรวยยางจะใช้เทคนิคเร่งผ่อน คือเร่งความเร็วในจังหวะวิ่งเข้าหากรวยยาง เมื่อเลี้ยวรถผ่านแล้วให้ยกคันเร่งผ่อนความเร็วลงและคืนพวงมาลัยให้รถตั้งตรงทาง แล้วจึงเร่งเครื่องเข้าหากรวยต่อไปและผ่อนคันเร่งเมื่อเลี้ยวรถผ่านไปแล้ว แต่สำหรับเคย์แมนซึ่งเครื่องยนต์วางอยู่กลางลำตัวของรถ จะใช้การชะลอคันเร่งรักษาความเร็วให้คงที่แล้วควบคุมทิศทางรถ เพื่อซิกแซ็กผ่านกรวยยางแทน ซึ่งถ้าให้เทียบกันแล้วรถที่เครื่องยนต์วางตรงกลางลำตัวจะมีความสมดุลในการทรงตัวกว่ามาก จึงสามารถควบคุมรถแบบสลาลมไปได้อย่างสบาย ๆ และว่องไวสถานีสุดท้ายเป็นการทดลองสมรรถนะ
ของเบรก รถที่ใช้เป็นรุ่น 911 เทอร์โบ เอสที่มีแรงม้ามากถึง 530 ตัว ซึ่งการจะหยุดฝูงม้าที่มากขนาดนี้ นอกจากระบบเบรกต้องมีประสิทธิภาพสูงมากแล้ว ผู้ขับก็ต้องรู้จักเทคนิคในการเบรกที่ปลอดภัยด้วย โดยเฉพาะระบบเบรกที่มีระบบป้องกันล้อล็อกตาย เริ่มการฝึกโดยการเร่งเครื่องพุ่งเข้าหากรวยยางที่วางดักไว้ข้างหน้า แล้วเหยียบเบรกอย่างเต็มที่เมื่อใกล้จะชนกรวยยางจนระบบป้องกันล้อล็อกตายทำงาน ในจังหวะนี้ผู้ขับต้องควบคุมพวงมาลัยเพื่อเปลี่ยนทิศทางของรถ ไม่ให้พุ่งชนกรวยยางที่ขวางอยู่
ปอร์เช่ เวิลด์ โรดโชว์ 2013 เป็นกิจกรรมที่เอเอเอสฯ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุก ๆ 2 ปี และถือได้ว่าเป็นงานทดสอบการขับรถยนต์ปอร์เช่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยผู้ที่เข้าร่วมงานจะได้รับการอบรมทักษะการขับขี่รถปอร์เช่อย่างถูกต้องและปลอดภัยจากทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่จากโรงงานที่ประเทศเยอรมนี พร้อมทั้งจะแนะนำเทคนิคพิเศษต่าง ๆ ในการขับขี่ รวมไปถึงเทคโนโลยีและระบบต่าง ๆ ที่ทางปอร์เช่ได้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งระบบความปลอดภัยอื่น ๆ ที่ปอร์เช่ไม่เคยละเลย.
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
...................
คลิกชมภาพต่อ.......
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
โตโยต้าได้เปิดตัวนวัตกรรม งานแสดงรถยนต์แห่งกรุงเจนีวา
ทางเลือกใหม่ของชีวิตอิสระในเมืองใหญ่? - ดีไซน์ต้นแบบ
ไอ-โร้ดนั้นเป็นยานพาหนะขนาด 2 ที่นั่ง ที่มีการเรียงที่นั่งตามยาว มีขนาดความกว้างพอ ๆ กับรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ คือราว ๆ 85 เซนติเมตร และยาวเพียง 2.3 เมตร โดยตัวรถนั้นมีหลังคาเรียบร้อย สามารถปกป้องผู้ใช้งานจากสภาพอากาศที่แปรปรวนได้เหมือนรถยนต์ แต่มีความคล่องตัวใกล้เคียงกับจักรยานยนต์ขนาดใหญ่อันได้มาจากระบบกันสะเทือนแบบแอคทีฟ ลีนที่ทำให้รถเข้าโค้งได้เหมือนจักรยานยนต์ ระบบพลังงานของไอ-โร้ดนั้นได้มาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ที่ส่งกำลังไปยังมอเตอร์ขนาด 2 กิโลวัตต์ที่ติดตั้งในล้อหน้าแต่ละข้าง ส่วนการเลี้ยวรถไอ-โร้ดนั้นจะแตกต่างจากรถทั่ว ๆ ไปที่เราคุ้นเคยคือการเลี้ยวด้วย “ล้อหลัง” ส่วนล้อหน้านั้นเป็นการหมุนไปด้วยความเร็วที่ไม่เท่ากันจากการควบคุมของคอมพิวเตอร์ เลยทำให้รูปแบบของการเคลื่อนที่ของไอ-โร้ดนั้นมีความพลิ้วไหว ลื่นไหล และนุ่มนวล ดูแล้วไม่แตกต่างไปจากท่าทางของนักสเกตน้ำแข็งเลยก็ว่าได้ โตโยต้าให้ข้อมูลว่าไอ-โร้ดนั้นสามารถเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดได้ 45 กม./ชม. และระยะทางเฉลี่ยที่ทำได้คือ 50 กิโลเมตร แม้ว่าจะดูไม่มากมายอะไร แต่ก็เป็นขอบเขตที่เหมาะสมสำหรับการสัญจรในเขตเมือง หรือเขตชุมชน
แต่เชื่อว่าต่อไปในอนาคตอันใกล้ ด้วยความเร็วของการพัฒนาระบบแบตเตอรี่ เราจะสามารถเห็นขอบเขตระยะทางที่เพิ่มขึ้นได้ถึง 100 กิโลเมตร อย่างแน่นอน แต่เรื่องของความเร็วนั้น เชื่อว่าด้วยรูปแบบของการเข้าโค้งในแบบของไอ-โร้ด คงจะไม่เหมาะสมกับความเร็วสูงมากนัก ซึ่งจะว่าไปแล้วทุกวันนี้ที่การเดินทางไปไหนมาไหนในเมืองอย่างกรุงเทพมหานครใช้เวลาค่อนข้างมาก ไม่ได้มาจากว่ารถยนต์ไม่เร็ว แต่มาจากรถยนต์เคลื่อนที่ได้ช้ามากจากการจราจรที่คับคั่ง จึงเห็นได้ว่าแม้แต่รถจักรยานทั่ว ๆ ไปที่ทำความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 30 กม./ชม. ด้วยความเร็วเฉลี่ยเพียง 20 กม./ชม. ก็สามารถเดินทางจาก จุด A ไปจุด B ในเมืองได้รวดเร็วกว่ารถยนต์ด้วยซ้ำไป ดังนั้นความเร็วระดับ 45 กม./ชม. จึงไม่ใช่ปัญหา และถ้ามีการใช้งานรถขนาดเล็ก อย่างไอ-โร้ด เป็นจำนวนมาก ก็น่าจะทำให้การใช้พลังงานโดยรวมของโลก รวมไปถึงมลพิษและเวลาที่เราจะติดแหง็กอยู่กลางถนนก็น่าจะลดลงด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเรียกร้องของประชาชนเองในการที่จะช่วยกันสร้างรูปแบบใหม่ของชีวิตที่ดีขึ้นกว่าทุกวันนี้นั่นเอง
.................
คลิกชมภาพต่อที่นี่....
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
ซูซูกิ เออร์ติกา เอ็มพีวีรุ่นเล็กแต่มากประโยชน์ใช้สอย
หลังจากเปรมปรีดิ์กับยอดขายปีที่แล้วที่เพิ่มขึ้นกว่า 200% ค่ายซูซูกิ มอเตอร์ ได้เปิดตัวรถเอ็มพีวี 5 ประตูรุ่นเล็ก ซูซูกิเออร์ติกาใหม่ ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตรลงตลาดอีกรุ่นในวันที่ 19 มี.ค. โดยมีเออร์ติกาให้ลูกค้าเลือกซื้อได้ 3 รุ่น คือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีด รุ่นจีเอ และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด รุ่นจีแอล และจีเอ็กซ์ ซึ่งซูซูกิได้นำรถเออร์ติกา รุ่นจีเอ็กซ์มาให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับกันไปเรียบร้อยแล้ว
ถ้าเทียบขนาดตัวถังเออร์ติกากับบรรดารถเอ็มพีวีคู่แข่งที่มีขายอยู่ในปัจจุบัน เออร์ติกาเป็นรถที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าทั้งฮอนด้า ฟรีดและโตโยต้า อแวนซา ส่วนการออกแบบรูปโฉมของเออร์ติกานั้น ก็จะคล้าย ๆกับซูซูกิ สวิฟท์มากกว่าเอพีวีรุ่นพี่ อย่างซูซูกิ เอพีวี เพราะซูซูกิได้นำเอาโครงสร้างตัวถังของ สวิฟท์มายืดฐานล้อให้ยาวออกกับเพิ่มความสูงของช่วงหลังคาขึ้น เพื่อพัฒนาเป็นเออร์ติกา
ส่วนการออกแบบรูปลักษณ์ อย่างตัวโคมไฟหน้า มีรูปทรงที่คล้าย ๆ กับของสวิฟท์ ชุดกระจังหน้าเพิ่มความหรูหราด้วยคิ้วโครเมียม ด้านล่างของกันชนจะติดไฟตัดหมอกมาให้ด้วย กระจกบังลมหน้าจะออกแบบให้ลาดเอียงเพื่อเพิ่มความลู่ลม ประตูด้านข้างทั้ง 4 บานเปิดได้แบบเดียวกับรถเก๋ง กระจกหน้าต่างเปิดปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า เฉพาะด้านคนขับเป็นเลื่อนลงอัตโนมัติ ระบบล็อกประตูเป็นแบบเซ็นทรัลล็อก เปิดปิดได้ด้วยรีโมตคอนโทรล กระจกมองข้างปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้าและมีไฟเลี้ยวที่ส่วนปลาย สำหรับเสาอากาศของวิทยุจะติดไว้บนหลังคาด้านหน้า ล้อแม็กขอบ 15 นิ้ว ส่วนยางใช้ขนาด 185/65R15
ฝาท้ายหลังเป็นแบบเปิดขึ้นด้านบน โดยมีโช้คอัพไฮดรอลิก 2 ตัวช่วยผ่อนแรงในการยกและค้ำยัน ตัวฝาท้ายออกแบบให้เปิดได้ต่ำกว่าขอบกันชนหลัง เพื่อให้เบาแรงเวลายกของขึ้นลง ชุดไฟท้ายอยู่ในตำแหน่งสูงช่วยให้รถคันหลังเห็นได้ง่ายและมีชุดไฟเบรกดวงที่ 3 ติดไว้ที่ขอบด้านบนของฝาท้ายซึ่งทำเป็นสปอยเลอร์ในตัว กระจกบังลมหลังมีข้อติตรงไม่มีระบบไล่ฝ้า แต่ยังดีที่มีหัวฉีดน้ำล้างกระจกกับใบปัดน้ำฝนมาให้
ภายในห้องโดยสารเน้นการใช้งานแบบอเนกประสงค์ โดยในยามปกติจะมีเบาะนั่งถึง 3 แถว 7 ที่นั่ง เมื่อต้องการพื้นที่ในการบรรทุก สามารถปรับเบาะนั่งทั้งหมดได้หลากหลายลักษณะเพื่อจัดให้มีพื้นที่ว่างพอสำหรับการบรรทุกสัมภาระขนาดต่าง ๆ ซูซูกิยกชุดคอนโซลด้านผู้โดยสารตอนหน้ามาจากสวิฟท์ เพียงแต่เปลี่ยนจากใช้สีดำมาเป็นสีเบจทูโทนที่ให้ความรู้สึกสว่างสดใสกว่า พวงมาลัยแบบ 3 ก้านปรับสูงต่ำได้พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง มีช่องแอร์แยกต่างหาก
บนเพดานให้ผู้โดยสารตอนหลัง มาตรฐานความปลอดภัยประกอบด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้ากับเข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ 3 จุด 6 ที่นั่ง และแบบ2 จุด 1 ที่นั่ง ขุมพละกำลังภายใต้ฝากระโปรงของเออร์ติกาคือเครื่องยนต์บล็อก K14B ซึ่งเครื่องตัวนี้ถูกพัฒนามาจากบล็อก A12B ของสวิฟท์โดยการยึดระยะชักจาก 74.2 มม. เป็น 82.0 มม. มีกำลังสูงสุด 95 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีมกับสปริงขด ระบบเบรกที่ใช้เป็นแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม พร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อกตายขณะเหยียบเบรกอย่างรุนแรง
สรุปว่าหลังจากที่ได้ลองขับไปกลับกรุงเทพฯ-พัทยาแล้ว เออร์ติกาเป็นรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดี เพราะเบาะอยู่ในตำแหน่งสูง และนั่งสบายยามเดินทางไกล พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าตอบสนองแม่นยำและมีน้ำหนักกำลังดี เครื่องยนต์มีอัตราเร่งออกตัวและเร่งแซงที่ไว้วางใจได้ อัตราการกินน้ำมันอยู่ประมาณ 14 กม./ลิตร ระบบช่วงล่างนิ่มนวล การทรงตัวในทางตรงมั่นคงดี แต่ในทางโค้งยังมีอาการโคลงบ้างตามลักษณะของรถที่มีช่วงหลังคาสูง สำหรับสนนราคา รุ่นจีเอ 554,000 บาท, รุ่นจีแอล 639,000 บาท และรุ่นจีเอ็กซ์ 689,000 บาท
...........................................................................................
ข้อมูลทางเทคนิค
มิติ (ยาว/กว้าง/สูง) 4,265/1,695/1,685 มม.
เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
ความจุกระบอกสูบ 1,373 ซีซี
กำลังสูงสุด 95 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาทีีี
แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
เกียร์ อัตโนมัติ 4 จังหวะ
ราคา 689,000 บาท
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
......................
คลิกชมภาพต่อที่นี่....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)