วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556
เปิดตัวรถสปอร์ตงานเจนีวา - สรรพรถ
งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2013 ที่เพิ่งผ่านไป มีรถสปอร์ตทั้งแบบคลาสสิกและแบบล้ำอนาคตมาเผยโฉมพร้อมกันหลายรุ่นหลายยี่ห้อ “สรรพรถ” จึงขอเกาะกระแสนำเสนอรถเด่น ๆ แบบโชว์ทั้งสเปก ราคา และความแรง เอามาคุยอวดกันให้หายอยาก
ขอเริ่มด้วยค่ายรถจากประเทศเยอรมนี วิสมานน์ ทำการเปิดตัวรถยนต์จีที เอ็มเอฟ4-ซีเอส ซึ่งเป็นรถสปอร์ตคลาสสิกที่วิสมานน์ผลิตขึ้นจำนวนจำกัดเพียง 25 คันเพื่อฉลองครบรอบ 25 ปี เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นบล็อก วี 8 ให้กำลัง 420 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 4.4 วินาที มีความเร็วสูงสุด 293 กม./ชม. ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 193,193 ยูโร (7.8 ล้านบาท)
จากค่ายเยอรมนีมาขาใหญ่อิตาลีกันบ้าง คาร์รอสเซเรีย ทัวริ่ง ซูเปอร์รีเกียล่า ผู้ผลิตรถสปอร์ตจากประเทศอิตาลี เปิดตัวรถดิสโก้ โวลันเต้ รุ่นโปรดักชั่น ซึ่งได้รับการพัฒนามาจากรถของอัลฟ่า โรมิโอ รุ่น 8 ซี คอมเพติซิโอเน่ โดยใช้ตัวถังอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์เสริมโพลิเมอร์ กระจังหน้าทรงสามเหลี่ยม ส่วนหลังคาเป็นกระจกพาโนรามิกซันรูฟ เครื่องยนต์เป็นแบบ วี 8 ความจุ 4.7 ลิตร กำลัง 450 แรงม้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ซีเควนเชียล 6 สปีด ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 4.2 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 290 กม./ชม.
ต่อด้วยกระทิงดุ แลมโบกินี ก็เปิดตัว รุ่นเวเนโน่อย่างเป็นทางการ เพื่อฉลองการดำเนินงานครบรอบ 50 ปีของบริษัท เวเนโน่ ใช้ตัวถังสีเทาเมทัลลิก ผสมกับวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์บางส่วน และคาดสีธงชาติอิตาลี (เขียว ขาว และแดง) ใช้เครื่องยนต์วี 12 มีความจุกระบอกสูบ 6.5 ลิตร ให้กำลัง 750 แรงม้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ ไอเอสอาร์ 7 สปีด ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดทำได้ 355 กม./ชม. สำหรับชื่อรุ่น “เวเนโน่” มาจากชื่อของกระทิงดุที่เคยทำร้ายมาทาดอร์มือแน่ ๆ มาแล้วหลายต่อหลายราย ในช่วงทศวรรษ 1910
ปิดท้ายด้วยเจ้าเก่า ม้าลำพองเฟอร์รารี เปิดตัวรถซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุด “ลาเฟอรารี” ซึ่งเป็นรถเจเนอเรชั่นใหม่ที่มาแทนรุ่นเอนโซ เฟอรารี ใช้เครื่องยนต์ลูกผสมแบบไฮบริดทำงานผสานกันระหว่างเครื่องยนต์ วี 12 ความจุ 6,262 ซีซี 800 แรงม้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 163 แรงม้า มีระบบสำรองพลังงาน ไฮ-เคอร์ รถรุ่นนี้ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาต่ำกว่า 3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดเกิน 350 กม./ชม. เฟอร์รารีเผยว่าจะผลิตรถซูเปอร์คาร์รุ่นนี้เพียง 499 คันเท่านั้น ส่วนราคาก็ตั้งไว้แค่ 1.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (49.7 ล้านบาท) เท่านั้น โอ้พระเจ้า!!
พีรพล กนิษฐะเสน
เปิดตัวรถสปอร์ตงานเจนีวา - สรรพรถ
.........................
คลิกชมภาพต่อที่นี่....
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
เอฟ12 แบร์ลิเน็ตตา ม้าตัวใหม่ของเฟอร์รารี
บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เฟอร์รารีแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เน้นบุกตลาดรถซูเปอร์คาร์อย่างเต็มที่ในปีนี้ หลังจากยอดขายปีที่แล้วเป็นไปตามเป้าและสามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้เน้นทำการตลาด 2 รุ่น คือ 458 สไปเดอร์ และเอฟ12 แบร์ลิเน็ตตา ซึ่งเป็นเฟอร์รารีรุ่นที่เร็วและแรงที่สุดให้แฟนม้าลำพองจ่อคิวเป็นเจ้าของ
นางนันทมาลี ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ เปิดเผยว่า เพื่อตอกย้ำความแรงของรถซูเปอร์คาร์ บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวเอฟ12 แบร์ลิเน็ตตา ช่วงกลางปีและมั่นใจมากว่าจะมีกระแสการตอบรับอย่างดี สังเกตจากที่มียอดจองเข้ามาอย่างต่อเนื่องแม้จะยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเอฟ12 แบร์ลิเน็ตตาได้พัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดจากรุ่น 599 จีทีบี ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่เอฟ12 มีน้ำหนักเบากว่าถึง 70 กก.
เพราะใช้อะลูมิเนียมในการประกอบตัวรถ ทำให้ออกตัวได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบแอโรไดนามิกเดิมที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นดับเบิลแอโรไดนามิก ทำให้มีความลู่ลมขณะขับขี่ อีกทั้งขับขี่สนุกขึ้นด้วยขุมพลังจากเครื่องวี 12 ขนาด 6.3 ลิตร ให้กำลัง 740 แรงม้า ที่ 8,250 รอบ/นาที และแรงบิด 690 นิวตัน-เมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที ระบบเกียร์ 7 สปีด ดูอัลคลัตช์ เทคโนโลยีล่าสุดจากเฟอร์รารี ใช้เวลาทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. เพียงแค่ 3.1 วินาที และไต่ขึ้นไปถึง 200 กม./ชม. ที่ 8.4 วินาที มาพร้อมกับค่าตัวเริ่มต้นที่ 755,400 ยูโร (28.7 ล้านบาท)
นางนันทมาลี กล่าวว่า ปีนี้จะเป็นปีที่พิเศษของคาวาลลิโนฯ เพราะโชว์รูมจะมีเฟอร์รารีครบทั้ง 5 รุ่น ซึ่งมีการวางตำแหน่งทางการตลาดได้อย่างครอบคลุมและมีจุดขายที่แตกต่างกัน เริ่มตั้งแต่รุ่นเอฟเอฟ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการในการใช้งาน, รุ่นแคลิฟอร์เนีย 30 ขับง่าย ขับสนุก สามารถใช้งานได้ทุกวัน, รุ่น 458 อิตาเลีย ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมและขายดีที่สุด, รุ่น 458 สไปเดอร์ และรุ่นเอฟ12 แบร์ลิเน็ตตา เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือกเพิ่มขึ้นเต็มที่.
เนตรนภางค์ บุญนายืน
......................
คลิกชมภาพ.....
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
ปอร์เช่ เวิลด์ โรดโชว์ 2013 สัมผัสสุดยอดซูเปอร์คาร์ในฝัน
บริษัท ปอร์เช่ เอจี ประเทศเยอรมนี และบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ร่วมกันจัดกิจกรรมปอร์เช่ เวิลด์ โรดโชว์ 2013 โดยขนฝูงรถปอร์เช่มากถึง 23 คันมาให้ลูกค้าและสื่อมวลชนได้ทดลองสมรรถนะ ณ สนามพีระฯ ระหว่างวันที่ 1-12 มี.ค. ที่ผ่านมา
ในส่วนของทริปการอบรมครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 สถานีหลัก ๆ คือ สถานีการทดลองขับสมรรถนะของรถปอร์เช่และวิธีขับรถในทางโค้งแบบต่าง ๆ ของสนามพีระฯ, สถานีการควบคุมรถผ่านเส้นทางแบบสลาลม และสถานีสุดท้ายเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของระบบเบรก พร้อมทั้งฝึกควบคุมทิศทางของรถเมื่อต้องเบรกอย่างกะทันหัน
ในสถานีแรก ปอร์เช่ได้แยกรถเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มของรถเครื่องวางหน้า อันประกอบไปด้วยรุ่นพานาเมร่าและรุ่นคาเยนน์ อีกกลุ่มจะเป็นรถเครื่องวางหลังและวางกลาง ได้แก่ รุ่น 911, บ็อกซ์เตอร์ และเคย์แมน สำหรับเทคนิคที่นำมาสอนเป็นการขับรถเข้าโค้งอย่างปลอดภัย หลักใหญ่ที่ผู้สอนเน้นก็คือการเข้าโค้งให้ช้าและออกให้เร็ว ซึ่งทำได้ด้วยการกำหนดจุดเบรกเพื่อเริ่มชะลอความเร็วก่อนถึงโค้ง ในจังหวะนี้น้ำหนักรถจะถ่ายเทไปทางด้านหน้า ล้อหน้าที่ได้รับน้ำหนักมากขึ้นก็จะเพิ่มการยึดเกาะถนนมากขึ้นตามไปด้วย จากนั้นก็เปลี่ยนเกียร์ให้ต่ำลง
แต่เนื่องจากรถปอร์เช่ที่เอามาขับใน ทริปนี้เป็นรถเกียร์อัตโนมัติทั้งหมด ระบบควบคุมเกียร์จึงลดอัตราทดลงเองตามความเหมาะสม จากนั้นก็ให้ควบคุมความเร็วและทิศทางรถให้เข้าโค้งไปอย่างพอเหมาะ ไม่ควรเร่งให้เร็วเกินไป เมื่อรถเสียการทรงตัว ไม่ควรเหยียบเบรกแรง ๆ แต่ให้ยกคันเร่งขึ้นเพื่อลดความเร็ว และไม่กระชากพวงมาลัยแรง ๆ ขณะควบคุมทิศทางในโค้ง เมื่อรถเริ่มออกจากทางโค้งก็ให้กดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้น และคืนพวงมาลัยให้รถอยู่ในทิศทางตรง ในจังหวะนี้น้ำหนักรถจะถ่ายไปยังด้านหลังรถ ช่วยให้รถพุ่งตัวออกจากทางโค้งได้อย่างมั่นคง
ในสถานีสลาลม รถที่เอามาใช้ทดลองเป็นรุ่นเคย์แมน โดยปกติสำหรับรถเครื่องวางหน้าเวลาขับรถแบบซิกแซ็กผ่านกรวยยางจะใช้เทคนิคเร่งผ่อน คือเร่งความเร็วในจังหวะวิ่งเข้าหากรวยยาง เมื่อเลี้ยวรถผ่านแล้วให้ยกคันเร่งผ่อนความเร็วลงและคืนพวงมาลัยให้รถตั้งตรงทาง แล้วจึงเร่งเครื่องเข้าหากรวยต่อไปและผ่อนคันเร่งเมื่อเลี้ยวรถผ่านไปแล้ว แต่สำหรับเคย์แมนซึ่งเครื่องยนต์วางอยู่กลางลำตัวของรถ จะใช้การชะลอคันเร่งรักษาความเร็วให้คงที่แล้วควบคุมทิศทางรถ เพื่อซิกแซ็กผ่านกรวยยางแทน ซึ่งถ้าให้เทียบกันแล้วรถที่เครื่องยนต์วางตรงกลางลำตัวจะมีความสมดุลในการทรงตัวกว่ามาก จึงสามารถควบคุมรถแบบสลาลมไปได้อย่างสบาย ๆ และว่องไวสถานีสุดท้ายเป็นการทดลองสมรรถนะ
ของเบรก รถที่ใช้เป็นรุ่น 911 เทอร์โบ เอสที่มีแรงม้ามากถึง 530 ตัว ซึ่งการจะหยุดฝูงม้าที่มากขนาดนี้ นอกจากระบบเบรกต้องมีประสิทธิภาพสูงมากแล้ว ผู้ขับก็ต้องรู้จักเทคนิคในการเบรกที่ปลอดภัยด้วย โดยเฉพาะระบบเบรกที่มีระบบป้องกันล้อล็อกตาย เริ่มการฝึกโดยการเร่งเครื่องพุ่งเข้าหากรวยยางที่วางดักไว้ข้างหน้า แล้วเหยียบเบรกอย่างเต็มที่เมื่อใกล้จะชนกรวยยางจนระบบป้องกันล้อล็อกตายทำงาน ในจังหวะนี้ผู้ขับต้องควบคุมพวงมาลัยเพื่อเปลี่ยนทิศทางของรถ ไม่ให้พุ่งชนกรวยยางที่ขวางอยู่
ปอร์เช่ เวิลด์ โรดโชว์ 2013 เป็นกิจกรรมที่เอเอเอสฯ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุก ๆ 2 ปี และถือได้ว่าเป็นงานทดสอบการขับรถยนต์ปอร์เช่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยผู้ที่เข้าร่วมงานจะได้รับการอบรมทักษะการขับขี่รถปอร์เช่อย่างถูกต้องและปลอดภัยจากทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่จากโรงงานที่ประเทศเยอรมนี พร้อมทั้งจะแนะนำเทคนิคพิเศษต่าง ๆ ในการขับขี่ รวมไปถึงเทคโนโลยีและระบบต่าง ๆ ที่ทางปอร์เช่ได้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งระบบความปลอดภัยอื่น ๆ ที่ปอร์เช่ไม่เคยละเลย.
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
...................
คลิกชมภาพต่อ.......
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
โตโยต้าได้เปิดตัวนวัตกรรม งานแสดงรถยนต์แห่งกรุงเจนีวา
ทางเลือกใหม่ของชีวิตอิสระในเมืองใหญ่? - ดีไซน์ต้นแบบ
ไอ-โร้ดนั้นเป็นยานพาหนะขนาด 2 ที่นั่ง ที่มีการเรียงที่นั่งตามยาว มีขนาดความกว้างพอ ๆ กับรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ คือราว ๆ 85 เซนติเมตร และยาวเพียง 2.3 เมตร โดยตัวรถนั้นมีหลังคาเรียบร้อย สามารถปกป้องผู้ใช้งานจากสภาพอากาศที่แปรปรวนได้เหมือนรถยนต์ แต่มีความคล่องตัวใกล้เคียงกับจักรยานยนต์ขนาดใหญ่อันได้มาจากระบบกันสะเทือนแบบแอคทีฟ ลีนที่ทำให้รถเข้าโค้งได้เหมือนจักรยานยนต์ ระบบพลังงานของไอ-โร้ดนั้นได้มาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ที่ส่งกำลังไปยังมอเตอร์ขนาด 2 กิโลวัตต์ที่ติดตั้งในล้อหน้าแต่ละข้าง ส่วนการเลี้ยวรถไอ-โร้ดนั้นจะแตกต่างจากรถทั่ว ๆ ไปที่เราคุ้นเคยคือการเลี้ยวด้วย “ล้อหลัง” ส่วนล้อหน้านั้นเป็นการหมุนไปด้วยความเร็วที่ไม่เท่ากันจากการควบคุมของคอมพิวเตอร์ เลยทำให้รูปแบบของการเคลื่อนที่ของไอ-โร้ดนั้นมีความพลิ้วไหว ลื่นไหล และนุ่มนวล ดูแล้วไม่แตกต่างไปจากท่าทางของนักสเกตน้ำแข็งเลยก็ว่าได้ โตโยต้าให้ข้อมูลว่าไอ-โร้ดนั้นสามารถเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดได้ 45 กม./ชม. และระยะทางเฉลี่ยที่ทำได้คือ 50 กิโลเมตร แม้ว่าจะดูไม่มากมายอะไร แต่ก็เป็นขอบเขตที่เหมาะสมสำหรับการสัญจรในเขตเมือง หรือเขตชุมชน
แต่เชื่อว่าต่อไปในอนาคตอันใกล้ ด้วยความเร็วของการพัฒนาระบบแบตเตอรี่ เราจะสามารถเห็นขอบเขตระยะทางที่เพิ่มขึ้นได้ถึง 100 กิโลเมตร อย่างแน่นอน แต่เรื่องของความเร็วนั้น เชื่อว่าด้วยรูปแบบของการเข้าโค้งในแบบของไอ-โร้ด คงจะไม่เหมาะสมกับความเร็วสูงมากนัก ซึ่งจะว่าไปแล้วทุกวันนี้ที่การเดินทางไปไหนมาไหนในเมืองอย่างกรุงเทพมหานครใช้เวลาค่อนข้างมาก ไม่ได้มาจากว่ารถยนต์ไม่เร็ว แต่มาจากรถยนต์เคลื่อนที่ได้ช้ามากจากการจราจรที่คับคั่ง จึงเห็นได้ว่าแม้แต่รถจักรยานทั่ว ๆ ไปที่ทำความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 30 กม./ชม. ด้วยความเร็วเฉลี่ยเพียง 20 กม./ชม. ก็สามารถเดินทางจาก จุด A ไปจุด B ในเมืองได้รวดเร็วกว่ารถยนต์ด้วยซ้ำไป ดังนั้นความเร็วระดับ 45 กม./ชม. จึงไม่ใช่ปัญหา และถ้ามีการใช้งานรถขนาดเล็ก อย่างไอ-โร้ด เป็นจำนวนมาก ก็น่าจะทำให้การใช้พลังงานโดยรวมของโลก รวมไปถึงมลพิษและเวลาที่เราจะติดแหง็กอยู่กลางถนนก็น่าจะลดลงด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเรียกร้องของประชาชนเองในการที่จะช่วยกันสร้างรูปแบบใหม่ของชีวิตที่ดีขึ้นกว่าทุกวันนี้นั่นเอง
.................
คลิกชมภาพต่อที่นี่....
ป้ายกำกับ:
ยานยนต์
ซูซูกิ เออร์ติกา เอ็มพีวีรุ่นเล็กแต่มากประโยชน์ใช้สอย
หลังจากเปรมปรีดิ์กับยอดขายปีที่แล้วที่เพิ่มขึ้นกว่า 200% ค่ายซูซูกิ มอเตอร์ ได้เปิดตัวรถเอ็มพีวี 5 ประตูรุ่นเล็ก ซูซูกิเออร์ติกาใหม่ ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตรลงตลาดอีกรุ่นในวันที่ 19 มี.ค. โดยมีเออร์ติกาให้ลูกค้าเลือกซื้อได้ 3 รุ่น คือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีด รุ่นจีเอ และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด รุ่นจีแอล และจีเอ็กซ์ ซึ่งซูซูกิได้นำรถเออร์ติกา รุ่นจีเอ็กซ์มาให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับกันไปเรียบร้อยแล้ว
ถ้าเทียบขนาดตัวถังเออร์ติกากับบรรดารถเอ็มพีวีคู่แข่งที่มีขายอยู่ในปัจจุบัน เออร์ติกาเป็นรถที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าทั้งฮอนด้า ฟรีดและโตโยต้า อแวนซา ส่วนการออกแบบรูปโฉมของเออร์ติกานั้น ก็จะคล้าย ๆกับซูซูกิ สวิฟท์มากกว่าเอพีวีรุ่นพี่ อย่างซูซูกิ เอพีวี เพราะซูซูกิได้นำเอาโครงสร้างตัวถังของ สวิฟท์มายืดฐานล้อให้ยาวออกกับเพิ่มความสูงของช่วงหลังคาขึ้น เพื่อพัฒนาเป็นเออร์ติกา
ส่วนการออกแบบรูปลักษณ์ อย่างตัวโคมไฟหน้า มีรูปทรงที่คล้าย ๆ กับของสวิฟท์ ชุดกระจังหน้าเพิ่มความหรูหราด้วยคิ้วโครเมียม ด้านล่างของกันชนจะติดไฟตัดหมอกมาให้ด้วย กระจกบังลมหน้าจะออกแบบให้ลาดเอียงเพื่อเพิ่มความลู่ลม ประตูด้านข้างทั้ง 4 บานเปิดได้แบบเดียวกับรถเก๋ง กระจกหน้าต่างเปิดปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า เฉพาะด้านคนขับเป็นเลื่อนลงอัตโนมัติ ระบบล็อกประตูเป็นแบบเซ็นทรัลล็อก เปิดปิดได้ด้วยรีโมตคอนโทรล กระจกมองข้างปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้าและมีไฟเลี้ยวที่ส่วนปลาย สำหรับเสาอากาศของวิทยุจะติดไว้บนหลังคาด้านหน้า ล้อแม็กขอบ 15 นิ้ว ส่วนยางใช้ขนาด 185/65R15
ฝาท้ายหลังเป็นแบบเปิดขึ้นด้านบน โดยมีโช้คอัพไฮดรอลิก 2 ตัวช่วยผ่อนแรงในการยกและค้ำยัน ตัวฝาท้ายออกแบบให้เปิดได้ต่ำกว่าขอบกันชนหลัง เพื่อให้เบาแรงเวลายกของขึ้นลง ชุดไฟท้ายอยู่ในตำแหน่งสูงช่วยให้รถคันหลังเห็นได้ง่ายและมีชุดไฟเบรกดวงที่ 3 ติดไว้ที่ขอบด้านบนของฝาท้ายซึ่งทำเป็นสปอยเลอร์ในตัว กระจกบังลมหลังมีข้อติตรงไม่มีระบบไล่ฝ้า แต่ยังดีที่มีหัวฉีดน้ำล้างกระจกกับใบปัดน้ำฝนมาให้
ภายในห้องโดยสารเน้นการใช้งานแบบอเนกประสงค์ โดยในยามปกติจะมีเบาะนั่งถึง 3 แถว 7 ที่นั่ง เมื่อต้องการพื้นที่ในการบรรทุก สามารถปรับเบาะนั่งทั้งหมดได้หลากหลายลักษณะเพื่อจัดให้มีพื้นที่ว่างพอสำหรับการบรรทุกสัมภาระขนาดต่าง ๆ ซูซูกิยกชุดคอนโซลด้านผู้โดยสารตอนหน้ามาจากสวิฟท์ เพียงแต่เปลี่ยนจากใช้สีดำมาเป็นสีเบจทูโทนที่ให้ความรู้สึกสว่างสดใสกว่า พวงมาลัยแบบ 3 ก้านปรับสูงต่ำได้พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง มีช่องแอร์แยกต่างหาก
บนเพดานให้ผู้โดยสารตอนหลัง มาตรฐานความปลอดภัยประกอบด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้ากับเข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ 3 จุด 6 ที่นั่ง และแบบ2 จุด 1 ที่นั่ง ขุมพละกำลังภายใต้ฝากระโปรงของเออร์ติกาคือเครื่องยนต์บล็อก K14B ซึ่งเครื่องตัวนี้ถูกพัฒนามาจากบล็อก A12B ของสวิฟท์โดยการยึดระยะชักจาก 74.2 มม. เป็น 82.0 มม. มีกำลังสูงสุด 95 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีมกับสปริงขด ระบบเบรกที่ใช้เป็นแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม พร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อกตายขณะเหยียบเบรกอย่างรุนแรง
สรุปว่าหลังจากที่ได้ลองขับไปกลับกรุงเทพฯ-พัทยาแล้ว เออร์ติกาเป็นรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดี เพราะเบาะอยู่ในตำแหน่งสูง และนั่งสบายยามเดินทางไกล พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าตอบสนองแม่นยำและมีน้ำหนักกำลังดี เครื่องยนต์มีอัตราเร่งออกตัวและเร่งแซงที่ไว้วางใจได้ อัตราการกินน้ำมันอยู่ประมาณ 14 กม./ลิตร ระบบช่วงล่างนิ่มนวล การทรงตัวในทางตรงมั่นคงดี แต่ในทางโค้งยังมีอาการโคลงบ้างตามลักษณะของรถที่มีช่วงหลังคาสูง สำหรับสนนราคา รุ่นจีเอ 554,000 บาท, รุ่นจีแอล 639,000 บาท และรุ่นจีเอ็กซ์ 689,000 บาท
...........................................................................................
ข้อมูลทางเทคนิค
มิติ (ยาว/กว้าง/สูง) 4,265/1,695/1,685 มม.
เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
ความจุกระบอกสูบ 1,373 ซีซี
กำลังสูงสุด 95 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาทีีี
แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
เกียร์ อัตโนมัติ 4 จังหวะ
ราคา 689,000 บาท
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
......................
คลิกชมภาพต่อที่นี่....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)